การฆ่าตัวตายเป็นปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุขและสังคมที่พบมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในผู้ป่วยจิตเวชที่มีความสัมพันธ์อย่างมากกับการฆ่าตัวตาย ซึ่งโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ได้พัฒนาแนวทางการดูแลรักษาผู้ที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย (CPG Suicide) ที่เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยในเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว แต่จากการประเมินผลลัพธ์การรักษาพยาบาลในปี พ.ศ. 2560-2562 พบว่า ผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวังการฆ่าตัวตายตาม CPG Suicide มีจำนวน 300, 501 และ 497 ราย และมีผู้ป่วยพยายามฆ่าตัวตายในโรงพยาบาล จำนวน 5, 4 และ 9 ราย ตามลำดับ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสำเร็จได้ในอนาคต จึงมีการทบทวนปัญหา พบว่า ระบบการเฝ้าระวังในผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายมีปัญหา ไม่สามารถเฝ้าระวังผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องได้ มีข้อจำกัดด้านการประเมินความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย คือ ไม่สามารถประเมินได้ทุกวันทุกเวร ตามสถานการณ์จริง
เพื่อพัฒนาระบบการเฝ้าระวังการฆ่าตัวตายในผู้ป่วยจิตเวชที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์
เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มี 3 ระยะ ได้แก่ 1) วิเคราะห์สถานการณ์ 2) พัฒนาโดยใช้แนวคิดของ Kemmis and McTaggart (1988) คือ Planning, Action, Observation, Reflection และแนวคิดการเฝ้าระวังในผู้ป่วยจิตเวชที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาล ประกอบด้วย ทบทวนวรรณกรรม คัดเลือกเครื่องมือสำหรับการเฝ้าระวัง คือ แบบประเมิน Psychiatric Inpatient Suicide Risk Assessment at Psychiatric Hospital (PISRA-12) นำแบบประเมินฯไปทดสอบประสิทธิภาพ 3 เดือน ในผู้ป่วย 69 คน สรุปผลที่ได้มาพัฒนาคู่มือการใช้แบบประเมินฯ ประชุมชี้แจงและแนะนำการใช้กับผู้ปฏิบัติงาน 60 คน ก่อนนำไปใช้จริงตาม CPG Suicide และศึกษา Inter-rater reliability การใช้แบบประเมินฯ ผู้ใช้งาน 40 คน 3) ประเมินผล จากจำนวนผู้ป่วยที่พยายามฆ่าตัวตายครั้งแรก พยายามฆ่าตัวตายซ้ำและฆ่าตัวตายสำเร็จในโรงพยาบาล ตาม CPG Suicide ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2565
ระยะที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์ พบว่า M.I.N.I-Suicide ที่ใช้ ประเมินซ้ำได้ทุก 1 เดือน ระยะที่ 2 พัฒนาระบบการเฝ้าระวัง โดยเลือกใช้แบบประเมิน PISRA-12 ที่สามารถประเมินได้ทุกวันทุกเวร ซึ่งการนำไปทดลองใช้ พบว่า ผู้ปฏิบัติงานขาดความรู้และประสบการณ์ในการใช้แบบประเมินฯ และได้ทำคู่มือการใช้แบบประเมินฯช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้น ร้อยละ 100 และมีความพึงพอใจต่อการใช้ประโยชน์ในระดับมากที่สุด (X=4.55, SD=0.60) ในปี พ.ศ. 2563 มีการปรับปรุงและพัฒนา CPG Suicide และได้นำแบบประเมิน PISRA-12 ไปใช้จริง โดยมีค่า Inter-rater reliability อยู่ในระดับดี-ดีมาก ระยะที่ 3 ประเมินผลการปฏิบัติงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2565 พบว่า ผู้ป่วยที่เฝ้าระวังการฆ่าตัวตายตาม CPG Suicide มีผู้พยายามฆ่าตัวตายซ้ำในโรงพยาบาล จำนวน 0, 2 และ 0 ราย ตามลำดับ ไม่พบผู้พยายามฆ่าตัวตายครั้งแรกและฆ่าตัวตายสำเร็จในโรงพยาบาล
มีระบบการเฝ้าระวังฯ ที่ชัดเจนสอดคล้องตาม CPG Suicide และบริบทหน่วยงาน ผู้ปฏิบัติงานสามารถประเมินความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายในผู้ป่วยตั้งแต่แรกรับ ทุกวัน ทุกเวร และทุกครั้งที่ผู้ป่วยมีอาการเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การวางแผนและให้การดูแลช่วยเหลือตามระดับความรุนแรงของความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความปลอดภัย และได้มีการขยายผลนำไปทดลองใช้ในโรงพยาบาลจิตเวชในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 1 แห่ง
เกิดความร่วมมือกันในการทำงานของทีมสหวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วย การใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการแก้ไขปัญหาจากงานประจำเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและผู้ป่วยเกิดความปลอดภัย การประเมินผลเป็นระยะจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ของการพัฒนางานและช่วยให้เกิดการปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น การเห็นความสำคัญของปัญหาจากผู้บริหารส่งผลให้เกิดการพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง
ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการทำงานวิจัยเพื่อแก้ปัญหาจากงานประจำ การประชุมชี้แจงและสื่อสารให้กับผู้ปฏิบัติทุกคนได้เข้าใจ การจัดให้มีการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับแนวปฏิบัติและระบบการเฝ้าระวังฯที่พัฒนาขึ้น การสนับสนุนเชิงนโยบายโดยการนำของ Care Team Suicide ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการกำหนดแนวปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายในโรงพยาบาล มีการติดตามงานด้วยการกำหนดเป็นตัวชี้วัดของโรงพยาบาล
ไม่เป็น
ไม่เคย
ไม่เคย
ไม่เคย