ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ใช้ป้องกันและรักษาภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) หรือภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (Venous thromboembolism) ซึ่งยาวาร์ฟารินเป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่มีช่วงการรักษาที่แคบ ต้องติดตามค่าInternational normalized ratioเพื่อปรับยา จึงมีการพัฒนายากลุ่มใหม่ (direct oral anticoagulants: DOAC) ซึ่งมีข้อดีกว่าคือ ออกฤทธิ์เร็ว ขนาดยาคงที่ ไม่ต้องติดตาม INR และมีปฏิกิริยาระหว่างยาน้อย รพ.มหาราชนครราชสีมา มียา DOAC คือ Dabigatran Rivaroxaban Apixaban และ Edoxaban โดยยังเป็นยาที่อยู่นอกบัญชียาหลักแห่งชาติและมีราคาสูงจึงมีการใช้ยาในบางสิทธิรักษาเท่านั้น ปัจจุบันเริ่มมีการผลิตยากลุ่มนี้ในประเทศไทย ทำให้ราคายาลดลง ดังนั้นการใช้ยากลุ่มนี้มีแนวโน้มใช้มากขึ้น จึงต้องการศึกษาความเหมาะสมของขนาดยา เพื่อเป็นข้อมูลในการสร้างระบบป้องปัญหาด้านยา
1. เพื่อประเมินความเหมาะสมของขนาดยา DOAC ในโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา 2. เพื่อศึกษาอุบัติการณ์การเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา DOAC
การศึกษาย้อนหลังเชิงพรรณนา (Retrospective descriptive study) เกณฑ์การคัดเข้า ในช่วงระหว่าง 1 ตุลาคม 2564 - 30 กันยายน 2565 อายุมากกว่า 18 ปี มีประวัติการใช้ยา DOAC เกณฑ์การคัดออก - ผู้ป่วยที่ไม่มีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ค่า Scr - ผู้ป่วยที่ไม่มีบันทึกน้ำหนักตัว - มีประวัติมารับบริการที่โรงพยาบาลมหาราชเพียง 1 ครั้ง วิธีการดำเนินงาน - ทบทวนการสั่งใช้ DOAC ของผู้ป่วยนอกทั้งหมดจากโปรแกรม EMR app Labinfo - รวบรวมข้อมูลทั่วไป ได้แก่ เพศ อายุ โรคประจำตัว ค่าการทำงานของไต (Scr, CrCl) - ประเมินการสั่งใช้ยา DOAC ได้แก่ Approved dose, Underdosing และ Overdosing แปลผลเป็นร้อยละของความถี่ในการสั่งใช้ยา DOAC - รวบรวมข้อมูลการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ของผู้ป่วยที่ได้รับยา DOAC แปลผลเป็นร้อยละและ odd ratio
ผู้ป่วยที่ได้รับยา DOAC 607 ราย เพศชาย 321 ราย (52.88%) เพศหญิง 286 ราย (47.12%) อายุเฉลี่ย 70.95+11.98 ปี น้ำหนักเฉลี่ย 63.54+13.07 กิโลกรัม ค่าการทำงานของไต (CrCl) เฉลี่ย 54.74+23.29 ml/min คะแนน CHA2DVAS2 VASc เฉลี่ย 3.20+1.40 ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว 542 ราย (89.29%) ผู้ป่วยที่มีภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ 9.23% ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องบนเต้นพลิ้วร่วมกับมีภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ 1.65% โรคร่วมที่พบมากที่สุดคือความดันโลหิตสูง 45.30% เบาหวาน 25.21% ไขมันในเลือดสูง 16.14% ผู้ป่วยได้รับยาขนาดเหมาะสม 81.88% ได้รับยาขนาดต่ำหรือสูงกว่าขนาดที่ได้รับการรับรอง 10.21% และ 7.91% ตามลำดับ พบอาการไม่พึงประสงค์ในผู้ป่วยที่ได้รับ DOAC ขนาด not approve มากกว่า approved dose 1.73 เท่า (2.62% กับ 4.55%,OR=1.73)
การรายงานค่าการทำงานของไตคำนวณจาก Chronic Kidney Disease Epidemiology Collaboration equation (CKD-EPI) จะมีค่าสูงกว่าค่าจาก C-G ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับเกินขนาด ดังนั้นในระบบรายงานค่าการทำงานของไต ควรแสดงทั้งสูตร CKD-EPI และ C-G การระบุน้ำหนักตัวผู้ป่วยควรบันทึกตั้งแต่ขั้นตอนการแสดงตัวตน (Authen) เมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลก่อนที่ผู้ป่วยจะไปตรวจเลือดหรือระบุข้อมูลใน app หมอพร้อม
ยาที่มีการขับออกทางไต การสั่งจ่ายยาต้องปรับขนาดยาตามค่าการทำงานของไต ซึ่งการคำนวณค่าการทำงานของไตมีหลายวิธีให้ผลแตกต่างกัน โรงพยาบาลควรเพิ่มการคำนวณโดยวิธี Cockcroft-Gault เพื่อสามารถนำมาใช้ในการปรับขนาดยา ควรส่งเสริมให้มีการติดตามปัญหาการใช้ยากลุ่มใหม่ๆ ทุกตัว ที่มีการนำเข้าบัญชียาของโรงพยาบาล เช่น ยาที่ต้องติดตามในโรงพยาบาล (safety monitoring program:SMP)
มีการนำ IT เข้ามาช่วยในงานเภสัชกรรมจะช่วยลดความคลาดเคลื่อนทางยาได้ อย่างเป็นระบบ เช่น นำมาใช้ในการคำนวณขนาดยาตามน้ำหนัก การคำนวณขนาดยาตามค่าการทำงานของไต การปรับยาตามค่าการแข็งตัวของเลือด หรือระดับยาที่ตรวจวัดได้ครั้งก่อน เป็นต้น การมีความพร้อมด้าน Software และ hardware รวมถึงผู้ป่วยที่มีความคุ้นเคยกับเครื่องมือและ Application ต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในระบบบริการมากขึ้น
ไม่เป็น
ไม่เคย
ไม่เคย
ไม่เคย