การวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบอาศัยข้อมูลจากการซักประวัติ และการตรวจร่างกายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัย โดยเกือบทั้งหมดจะมีจุดกดเจ็บมากที่สุดบริเวณ Mc Burney ผลเลือดพบเม็ดเลือดขาว (White blood cell count) ปริมาณสูงกว่าปกติ มักมีเม็ดขาวชนิดนิวโตรฟิลเด่น การตรวจปัสสาวะอาจไม่ค่อยมีประโชน์มากนัก การวินิจฉัยขึ้นกับประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลักนั้น อาจส่งผลให้การวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบล่าช้าออกไป ทำให้มีความรุนแรงขึ้นและเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น ภาวะไส้ติ่งแตก การเกิดฝีหนองที่ไส้ติ่ง ติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นต้น สถิติการเกิดอุบัติการณ์การดูแลผู้ป่วยของโรงพยาบาลพยัคฆภูมิพิสัยก็เช่นเดียวกัน เช่น ภาวะไส้ติ่งแตกคิดเป็นร้อยละ 30.50 ภาวะ Sepsis ร้อยละ 14.49 ส่งผลให้มีการใช้ยาปฏิชีวนะยาวนานขึ้น เพิ่มจำนวนวันนอน และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยจนอาจเสียชีวิตได้
1. เพื่อพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันเพื่อป้องกันภาวะไส้ติ่งแตก 2.เพื่อประเมินผลแนวทางการดูแลผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันเพื่อป้องกันภาวะไส้ติ่งแตก
เป็นการวิจัยและพัฒนา ระยะเวลาศึกษา ตั้งแต่ ก.ค.64 - ก.ย.65 กลุ่มตัวอย่างในวงจรที่ 1 ได้แก่ผู้ป่วยที่มีภาวะไส้ติ่งอักเสบที่รักษาในแผนกศัลยกรรม จำนวน 103 ราย วงจรที่ 2 บุคลากรที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน จำนวน 35 ราย เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมิน Alvarado Score แนวคำถามการสัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยสถิติเชิงพรรณนา จำนวน ร้อยละ และสถิติเชิงอนุมาน chi-square ,t-test,multiple logistic regression วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา มีขั้นตอนดังนี้ วงจรที่ 1 ระยะศึกษาสถานการณ์ปัญหา วงจรที่ 2 พัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันเพื่อป้องกันภาวะไส้ติ่งแตกร่วมกับบุคลากรในหน่วยงาน
วงจรที่ 1 ปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะไส้ติ่งแตก คือระยะเวลาตั้งแต่ผู้ป่วยปวดท้องจนถึงโรงพยาบาลที่ใช้เวลา ≥ 24 ชม.มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไส้ติ่งแตกสูงมากกว่าผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลก่อน24ชม.1เท่า (ORadj=1.13, 95%CI 0.13-0.65) และการตรวจพบrebound tendernessขวาล่างมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไส้ติ่งแตกถึง3เท่า (ORadj = 3.03, 95%CI 1.17-2.29) และภาวะLeukocytosis (ORadj = 2.32, 95%CI 0.15-0.62) และปริมาณเม็ดเลือดขาวPMNสูง (ORadj = 1.39, 95%CI 1.33-5.41) โดยมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 วงจรที่ 2ได้พัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันเพื่อป้องกันภาวะไส้ติ่งแตกโดยแม้ว่าจะมีคะแนนAlvarado Scoreต่ำหากตรวจพบภาวะTenderness RLQร่วมกับภาวะRebound Tenderness ,Leucocytosis(>10000m3) ,PMN สูง แพทย์จะพิจารณาผ่าตัดทันที
จากการพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันเพื่อป้องกันภาวะไส้ติ่งแตก โดยได้นำแบบประเมินAlvarado scoreมาใช้เพื่อประเมินSymtoms,Signs,Laboratory test และกำหนดแนวทางในการพิจารณาผ่าตัดหากพบว่ามีภาวะTenderness RLQ ร่วมกับ1.Rebound Tenderness 2.Leucocytosis(>10000m3) 3.PMNสูงโดยถึงแม้ว่าจะมีคะแนน Alvarado Score ต่ำหากตรวจพบTenderness RLQ ร่วมกับ3ภาวะดังกล่าวข้างต้นแพทย์จะพิจารณาผ่าตัดทันที
จากการดูแลผู้ป่วย appendicitis จะเห็นได้ว่าการพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันเพื่อป้องกันภาวะไส้ติ่งแตกโรงพยาบาลพยัคฆภูมิพิสัยที่พัฒนาจากการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะไส้ติ่งแตกนำสู่พัฒนาแนวทางการดูแลที่สอดคล้องกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องส่งผลให้ลดอุบัติการณ์ภาวะไส้ติ่งแตก ลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น และผู้ป่วยมีความปลอดภัย
1. ทีมผู้วิจัยเป็นผู้ปฏิบัติหน้างานทำให้การดูแล ประเมินผู้ป่วย การประสานงาน ส่งต่อข้อมูลกับผู้เกี่ยวข้องได้ถูกต้องและรวดเร็ว 2. การศึกษาครั้งนี้ได้รับสนับสนุนจากผู้บริหารเป้นอย่างดี
ไม่เป็น
ไม่เคย
ไม่เคย
ไม่เคย