ผู้ศึกษาในฐานะนักสุขศึกษามีหน้าที่รับผิดชอบในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยเบาหวานที่มารับบริการคลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลยะลา เล็งเห็นถึงปัญหาสุขภาพของผู้ป่วย เนื่องจากพบว่ามีผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นจำนวนมาก จึงสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับความรู้ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานอยู่ในระดับใด และจะแก้ไขอย่างไร เพื่อนำผลการศึกษาที่ได้ไปเป็นแนวทางในการดำเนินงานให้ความรู้ ให้คำแนะนำและการจัดกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานได้อย่างเหมาะสมกับผู้ป่วยเบาหวานในการดูแลสุขภาพที่ถูกต้องต่อไปส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
1.เพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานของผู้ป่วยเบาหวาน คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลยะลา 2. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลยะลา
การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลยะลา เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบง่าย จำนวน 136 คน เป็นผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ (FBS มากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) รับบริการที่คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลยะลา อย่างน้อย 1 ปี เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยส่วนบุคคล ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 76.0 ระดับการศึกษา ส่วนใหญ่จบ ป4 หรือ ป6 คิดเป็นร้อยละ 41.2 อาชีพหลักส่วนใหญ่ค้าขาย คิดเป็นร้อยละ 30.9สำหรับข้อมูลด้านสุขภาพพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีรอบเอวเฉลี่ย 80.66 เซนติเมตร และระดับน้ำตาลในเลือด ( FBS ) เฉลี่ยเท่ากับ 251 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ส่วนความรู้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลางร้อยละ46.32 สำหรับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานก่อนได้รับการให้สุขศึกษามีการไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่สม่ำเสมอ ในเรื่องการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การรับประทานยา การคลายเครียด/พักผ่อนเพียงพอ ร้อยละ 40.62 หลังได้รับการให้สุขศึกษาผู้มารับบริการมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับโรคเบาหวาน ปฏิบัติถูกต้องและสม่ำเสมอเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 86.58
จัดโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพให้กับผู้ป่วยเบาหวานโดยใช้ข้อมูลจากการศึกษาในครั้งนี้ นั่นคือ การเน้นกิจกรรมการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเบาหวาน รวมถึงพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมทั้งด้านการรับประทานอาหาร การออกกำลังกายและการรับประทานยา เพื่อให้ผู้ป่วยเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพของตนเอง สามารถปรับเปลี่ยนสุขภาพที่ถูกต้อง เหมาะสม ลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวานได้
1.การศึกษาหาความรู้และพฤติกรรมโดยใช้แบบสอบถาม ผู้ศึกษาต้องออกแบบเครื่องมือที่ครอบคลุมทุกด้าน ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้ตอบแบบสอบถามเข้าใจ สามารถตอบได้ถูกต้องและตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด 2.การได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารและการร่วมมือจากทีมสหวิชาชีพเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลให้การดำเนินงานประสบความสำเร็จ
การได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากผู้บริหาร หัวหน้ากลุ่มงาน หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน ทีมสหวิชาชีพ ผู้ป่วยและญาติผู้ดูแล
ไม่เป็น
ไม่เคย
งานมหกรรมวิชาการประจำปี ระดับเขต สงขลา 2562
ชนะเลิศ ประเภท Oral Presentation ( R๒R) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยะลา 2562