โรคเบาหวานเป็นหนึ่งในโรคที่สำคัญทางระบาดวิทยาซึ่งองค์การอนามัยโลกให้ความสนใจ เพราะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในร่างกายได้หลาย ระบบ เช่นไตวาย ตาบอด สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติในปี 2035 จะมีผู้ที่ป่วยถึง 592 ล้านราย จากการคัดกรองพบกลุ่มเสี่ยงเบาหวานมีพฤติกรรมสุขภาพที่ขาดการออกกำลังและการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของแป้งและน้ำตาลของประชากร ตำบลโคกหล่ามคัดกรองประชากรอายุ 35 ปี ขึ้นไป ปี พ.ศ. 2555-2557 พบมีกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน 78, 82, 86 คนตามลำดับ และกลุ่มเสี่ยงกลายเป็นกลุ่ม ป่วยโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น เท่ากับ 15, 19, 22 คนตามลำดับ ปี 2558 พบกลุ่มเสี่ยง 88 คน ผู้วิจัยจึงสนใจการพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในกลุ่ม Pre DM เพื่อป้องกันการเกิดโรคเบาหวานมาประยุกต์ใช้ในชุมชน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานโดยให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อลดการเกิดโรคเบาหวาน
1.เพื่อการพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในกลุ่ม Pre DM 2.เพื่อศึกษาผลของการใช้รูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในกลุ่ม Pre DM เพื่อป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน
การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research ) ใช้กระบวนการวิการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยใช้วงจร PAOR 4 ขั้นตอนคือ ขั้นการวางแผน (plan) ขั้นปฏิบัติการ (Act) ขั้นสังเกตการณ์ (Observe)และขั้นสะท้อนผลการปฏิบัติการ (Reflect) มาประยุกต์เป็นกระบวนการดูแลกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานที่มี มีผลระดับน้ำตาลในเลือด 100-125mg/dl จำนวน 88 คน ในเขตรับผิดชอบตำบลโคกหล่าม โดยการนำรูปแบบ DPAC มาปรับใช้ร่วมกับ KHOK-LAM Model ให้เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ตำบลโคกหล่าม โดยใช้คนในชุมชนเป็นผู้กำกับติดตามทุกเดือนรายงานผลให้ผู้วิจัยทุกเดือนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 57- 30 กันยายน 58 เก็บข้อมูลจากแบบบันทึกระดับน้ำตาลในเลือด Fasting Blood Sugar และ Hb A1c สถิติที่ใช้เป็นร้อยละค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุด ต่ำสุด ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
พบว่าการนำรูปแบบที่ได้ไปใช้ดำเนินกิจกรรมในชุมชนโดยกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานได้รับรูสถานสุขภาพของตนเองและร่วมวางแผนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพซึงกลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 52.2 อายุเฉลี่ย 50.3 ปี และมีค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่บ้าน(DTX)เฉลี่ย 122 mg%(SD= 27.68) และได้ดำเนินกิจกรรมให้ความรู้และบันทึกความเปลี่ยนแปลงโดยติดตามกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานเดือนที่ 0,1,3,6,9,12 พบว่า ระดับน้ำตาลเฉลี่ยเดือนที่ 3 (FBS) 99.2 mg% (SD=12.67) และค่าระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเม็ดเลือดแดงย้อนหลัง 3เดือน(HbA1c)ในเดือนที่ 12 เฉลี่ย 5.1%กลุ่มเสี่ยงอยู่ในเกณฑ์ปกติค่า HbA1c อยู่ในช่วง 4-6% ร้อยละ 84.1 ซึ่งผลการใช้รูปแบบรูปแบบ KHOK – LAM Model ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มPre DM ได้ผลตามสภาพของชุมชนได้เป็นอย่างดีและไม่มีป่วยรายใหม่เกิดขึ้น
เป็นงานวิจัยที่พัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มPre DM มาปรับใช้ในชุมชนทำให้เกิดการสร้างกระแสสังคมการดูแลสุขภาพตนเองโดยการนำของผู้นำชุมชน และประธาน อสมทำให้ให้ประชาชนได้รับความรู้ สร้างความตระหนัก ตื่นตัวต่อการป้องกันตนเอง และกระตุ้นประชนชนได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองและนำรูปแบบKHOK- LAM Model มาเป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคอื่นๆ
เกิดการพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพโดยเฉพาะแกนนำชุมชนเฉพาะโรคที่เป็นกระบวนการนำสู่การวางแผนดำเนินโครงการเพื่อส่งเสริมป้องกันโรคในชุมชนเกิดการพัฒนาศักยภาพคนชมรมผู้ป่วยเบาหวานมีความเข้มแข็ง
เจ้าหน้าที่ทุกคนได้รับการพัฒนาทักษะ การให้คำปรึกษาพฤติกรรมสุขภาพ และมีความมุ่งมั่น ที่จะทำให้กลุ่มเสี่ยงกลับไปเป็นกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยงส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ ในการปรับเปลี่ยนสุขภาพและรับการติดตามจาก อสม.ผู้นำชุมชน และครอบครัว
ไม่เป็น
ไม่เคย
ไม่เคย
ไม่เคย