โรงพยาบาลอุดรธานีมีผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโตที่มารับการผ่าตัดคว้านต่อมลูกหมากมากเป็นอันดับสองรองจากโรคนิ่วซึ่งการดูแลด้วย CBI หลังการผ่าตัดถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการดูแล ที่ผ่านมาพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการทำ CBI มีการใช้สารน้ำในการสวนล้างกระเพาะปัสสาวะหลังผ่าตัดเฉลี่ยมากกว่า 30,000 ccต่อรายและมีอัตราการอุดตันทางเดินปัสสาวะ 6% ส่งผลให้เพิ่มภาระงานของพยาบาลจากการต่อ NSS เพื่อให้มีความต่อเนื่องตลอดเวลาและต้องใช้เวลาในการทำ Manual Irrigation จากการเกิดลิ่มเลือดอุดตันและรวมไปถึงภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการใช้สารน้ำจำนวนมาก อีกทั้งแนวทางการดูแลในผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังไม่มีมาตรฐานการดูแลที่ชัดเจนทีมจึงได้พัฒนารูปแบบการสวนล้างกระเพาะปัสสาวะอย่างต่อเนื่องในผู้ป่วยหลังผ่าตัดคว้านต่อมลูกหมากโต เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการรักษาสูงที่สุดและพัฒนาบริการทางการพยาบาลให้มีรูปแบบการดูแลที่เป็นมาตรฐานในหน่วยงาน
เพื่อพัฒนาการดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดคว้านต่อมลูกหมากโตและพัฒนารูปแบบการสวนล้างกระเพาะปัสสาวะอย่างต่อเนื่องในโรงพยาบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
1)ปี 2552 วิจัยเชิงพัฒนาเพื่อสร้างมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการล้างกระเพาะปัสสาวะอย่างต่อเนื่องภายหลังการผ่าตัด TURP และนำไปใช้ในผู้ป่วย จำนวน 30 ราย 2)ปี 2558 วิจัยเชิงทดลองเพื่อเปรียบเทียบการเกิดลิ่มเลือดในปัสสาวะในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย CBI หลังการผ่าตัด TURP ในระยะ 48 ชั่วโมงแรกด้วยอัตราการไหล 200 cc/hr กับการปรับอัตราการไหลตามมาตรฐานการดูแลปัจจุบัน จำนวน 30 ราย 3)ปี 2558 วิจัยเชิงพัฒนาได้แนวปฏิบัติการฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่หลังผ่าตัด TURP จำนวน 10 ราย 4)ปี 2560 วิจัยกึ่งทดลองนำสื่อการสอนที่ได้พัฒนามาใช้เป็นโปรแกรมการให้ข้อมูลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด TURP จำนวน 30 ราย 5)ปี 2561 วิจัยเชิงพัฒนาเพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลในการลดภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย CBI หลังการผ่าตัด TURP โดยปรับปรุงแนวปฏิบัติตามงานวิจัยหรือหลักฐานเชิงประจักษ์ใหม่ที่เพิ่มขึ้น
ปี 2552 รพ.ได้พัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย CBI หลังผ่าตัด TURP ที่เป็นมาตรฐานสามารถลดจำนวนการใช้ NSS ได้ 50% (เฉลี่ย 15,000 cc/ราย ด้วย Rate 295 cc/hr) และลดอัตราการอุดตันทางเดินปัสสาวะได้ 3% ปี 2558 จากการทดลองเปรียบเทียบอัตราการไหลชองสารน้ำทั้ง 2 กลุ่ม พบว่าความสมดุลของสารละลายที่เข้าและออกและการคั่งของปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะในกลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่มไม่แตกต่างกันทำให้ได้รูปแบบการต่อ CBI ด้วย Rate 200 cc/hr ส่งผลให้มีการใช้ NSS ลดลง(P<.001) (เฉลี่ยจาก15,000 cc/ราย เหลือเฉลี่ย8,300 cc/ราย) รวมไปถึงการพัฒนาแนวปฏิบัติการฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่หลังผ่าตัด TURP จากการ Pilot study พบ 5 รายที่กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ต้องได้รับการฟื้นฟู ปี 2560 พบว่าค่าเฉลี่ยความรู้หลังเข้าร่วมโปรแกรมเพิ่มขึ้น(P<0.05) ปี 2561 พัฒนาแนวปฏิบัติใหม่ซึ่งกำลังอยู่ในระยะการศึกษานำร่อง
ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย CBI หลังการผ่าตัด TURP เป็นงานประจำ จึงต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งรูปแบบการให้ CBI สื่อการสอนที่ครอบคลุมการให้ข้อมูลก่อนผ่าตัด รวมไปถึงแนวทางการเฝ้าระวัง/ฟื้นฟูภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด การพัฒนา CNPG ที่เป็นมาตรฐาน จะเป็นประโยชน์แก่พยาบาลปฏิบัติการสามารถให้การดูแลผู้ป่วยได้ตามมาตรฐาน ลดผลกระทบด้านสุขภาพและลดต้นทุนการรักษาพยาบาล อีกทั้งลดภาระงานของพยาบาลในการดูแลได้
การดูแลผู้ป่วยผ่าตัดควรมีการวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนผ่าตัด-หลังผ่าตัด รวมไปถึงระยะพักฟื้นเมื่อกลับบ้าน โดยนำหลักวิชาการที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับบริบทที่มีอยู่จะเกิดผลลัพธ์ที่ดี อีกทั้งการทำให้พยาบาลระดับปฏิบัติการได้รับรู้และตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลผู้ป่วย รวมถึงวิธีการศึกษาวิจัยเชิงทดลองส่งผลให้เกิดความร่วมมือและมีการปฏิบัติกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
ทีมมีความต้องการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของผู้ป่วย Post TUR-P อย่างสม่ำเสมอและวิเคราะห์ปัญหาหน้างานอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงความร่วมมือและการตระหนักถึงความสำคัญจากหัวหน้าหอผู้ป่วย ทีมศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ ทีมพยาบาลวิชาชีพประจำหอผู้ป่วยศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ และผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโตที่ได้รับการรักษาด้วย CBI หลังการผ่าตัดคว้านต่อมลูกหมากโต
รูปแบบการสวนล้างปัสสาวะอย่างต่อเนิ่อง
วารสารโรงพยาบาลสกลนคร ISSN 0859-7251 ปีที่ 19 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2559
HA Forum ครั้งที่ 11 เมืองทองธานี 2553
R2R ดีเด่น ระดับตติยภูมิ เวทีมหกรรมผลงานวิจัย R2R เขตสุขภาพที่ 8 2559