รพ.สต.เซิมเป็นรพ.สต.ขนาดใหญ่ รับผิดชอบ11หมู่บ้าน มีประชากร8,563 คนจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนเปลี่ยนแปลงส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคที่แตกต่างไปจากเดิมทำให้มีผู้ป่วยDM/HTเพิ่มขึ้นทุกปีและจากการคัดกรองภาวะแทรกซ้อนทางไตของผู้ป่วยDM/HT ปี 2558 พบว่าผู้ป่วยDM/HT ที่มีภาวะแทรกซ้อนทางไตเพิ่มขึ้น จากปี พ.ศ.2557 ร้อยละ 12.1 มีผู้ป่วยCAPD จำนวน 3 ราย, HD 1 ราย จะเห็นได้ว่าขนาดความรุนแรงเรื่องภาวะแทรกซ้อนทางไตของผู้ป่วย DM/HT ได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาพบว่ากลุ่มผู้ป่วยCKDStage3-5เป็นกลุ่มที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้และไม่ค่อยมีความตระหนักในเรื่องรับประทานยา DM/HT และในชุมชนเป็นแหล่งผลิตเกลือง่ายต่อการหาซื้อ ประชาชนส่วนใหญ่ชอบรับประทานอาหารรสเค็มจึงมีแนวโน้มที่ทำให้ผู้ป่วยDM/HTมีภาวะCKDที่สูงขึ้นผู้วิจัยจึงได้หยิบประเด็นนี้มาศึกษา
เพื่อศึกษาผลการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพการดูแลตนเองตามหลัก 3อ 2ส ในการป้องกันและชะลอไตเสื่อมของผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ที่มีภาวะ CKD Stage 3
เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการมีอยู่4ขั้นตอนได้แก่ขั้นที่1 สำรวจข้อมูลผู้ป่วยDM/HTที่มีภาวะCKD Stage3 ปี58 มี 129 คนแต่มีผู้ป่วยที่สมัครใจเข้าร่วมการทำวิจัยครั้งนี้ 50คน ขั้นที่2 จัดอบรมโครงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ แจ้งผลตรวจภาวะแทรกซ้อนทางไตปี57และ58 ให้ความรู้ถึงผลกระทบเมื่อไตทำงานแย่ลง และจัดอบรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามหลัก3อ2ส ระยะเวลาอบรม 1 วัน โดยอาหารเน้นที่ กินจืด ยืดชีวิตและ ออกกำลังกาย เน้นการทำ Marching 10 ยกๆละ 20-50 ครั้ง ตามความสามารถของผู้ป่วย อารมณ์ เน้นทำจิตใจให้สงบไม่เครียด 2ส ไม่สูบบุหรี่ไม่ดื่มสุราขั้นที่ 3 ติดตามเยี่ยมกลุ่มเป้าหมายและสังเกตพฤติกรรมความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยโดยจนท.รพ.สต.และอสม.เชียวชาญCKD โดยเน้นการให้สุขศึกษาในการปฏิบัติตัวแก่ผู้ป่วยและญาติ 1 เดือน/ครั้งเป็นระยะเวลา 12เดือนขั้นที่4 ประเมินผลจากผลการตรวจภาวะแทรกซ้อนทางไตของผู้ป่วยDM/HTประจำปี 59
จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามหลัก3อ2ส ของผู้ป่วยDM/HTที่มีภาวะCKD 3 จำนวน 50 ราย ผลตรวจภาวะแทรกซ้อนทางไตปี 59 พบว่าผู้ป่วยDM/HT ที่มีผลอยู่ในระดับ CKD 1 จำนวน 15 รายคิดเป็นร้อยละ30,CKD 2 จำนวน32ราย คิดเป็นร้อยละ 64 และCKD3 จำนวน 3ราย คิดเป็นร้อยละ6 เมื่อเปรียบเทียบผลกับ ผู้ป่วยCKD 3 อีก 79 คนที่ไม่ได้เข้ารับการปรับเปลี่ยนพบว่า มีภาวะ CKD 3 เท่าเดิมจำนวน 57 ราย คิดเป็นร้อยละ 72.15 มีภาวะCKD 2 จำนวน 12 ราย คิดเป็นร้อยละ 12 มีภาวะ CKD 1 จำนวน 6 ราย คิดเป็นร้อยละ 7.59 มีภาวะ CKD 4 จำนวน 4 ราย คิดเป็นร้อยละ 5.06 ตามลำดับ จะเห็นได้ว่าผู้ที่ไม่ได้เข้ารับการอบรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนใหญ่ผลการทำงานของไตจะอยู่ในStage3 เท่าเดิมและมีบางส่วนที่ไตทำงานเสื่อมลงไปอยู่ Stage4 งานวิจัยนี้สามารถบอกได้ว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามหลัก3อ2ส สามารถชะลอไตเสื่อมและทำให้การทำงานของไตผู้ป่วยดีขึ้นได้
ปี59 รพ.สต.เซิมได้วางแผนงานโครงการในการดูแลผู้ป่วยCKD โดยขยายกลุ่มเป้าหมายในการอบรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามหลัก3อ2ส เพื่อชะลอไตเสื่อม ไปยังผู้ป่วยDM/HTที่มีภาวะCKD Stage3-4และเพิ่มกิจกรรมมีการเข้ากลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยมีผู้ป่วยCKDต้นแบบมาเล่าประสบการณ์ในการปฏิบัติตัวให้เพื่อนผู้ป่วยในกลุ่มได้ฟัง เพื่อชะลอไตเสื่อมและไม่มีผู้ป่วยCAPDรายใหม่ ประเมินผลจากการตรวจภาวะแทรกซ้อนทางไตของผู้ป่วยDM/HT ปี 60
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพจะสำเร็จได้ต้องเกิดจากตัวของผู้ป่วยเองถ้าผู้ป่วยตระหนักถึงความรุนแรงของโรคที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน และเห็นผลเสียที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตจะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ป่วยยอมที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของตนเองเพื่อที่จะให้มีชีวิตอยู่กับลูกหลานได้ยาวนานขึ้นแต่ต้องมีจนท.สาธารณสุขคอยติดตามเยี่ยมและแจ้งผลหลังจากที่ผู้ป่วยได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพว่าผลออกมาเป็นอย่างไร
1. ความตระหนักและเข้าใจในความรุนแรงของระยะโรคของผู้ป่วย 2. ผู้ป่วยเห็นความสำคัญ ตั้งใจและให้ความร่วมมือในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของตนเองโดยยึดหลัก3อ2ส 3. ความร่วมมือของภาคีเครือข่ายระหว่าง จนท.รพ.สต. อปท. ผู้นำชุมชน อสม ญาติผู้ป่วย และผู้ป่วย
ไม่เป็น
ไม่เคย
การนำเสนอผลงานวิจัยR2Rจังหวัดหนองคาย โรงแรมไวท์โฮเทล
ไม่เคย