จากการพบปัญหาในงานประจำและการพัฒนางานประจำ
เพื่อเปรียบเทียบความแม่นยำของการคาดคะเน น้ำหนักทารกแรกเกิดจากการวัดด้วยวิธีLeopold's maneuver กับสูตร Johnson
การวิจัยแบบพรรณนากลุ่มตัวอย่างได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการในแผนกห้องคลอด โรงพยาบาลบ้านใหม่ไชพจน์ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2558 ถึง 31 มีนาคม 2558 จำนวนทั้งหมด 22 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ สอบถาม แบบบันทึกประกอบด้วยข้อมูล 3 ส่วน คือ ข้อมูลทั่วไป การตรวจร่างกาย แบบบันทึกน้ำหนักทารกแรกเกิดจากการวัดด้วยวิธีLeopold's maneuver กับสูตร Johnson และน้ำหนักจริงของทารกแรกเกิดที่ได้จากการชั่งน้ำหนักทารกจากตาชั่งน้ำหนักซึ่งผ่านการทดสอบความตรงโดยผู้เชี่ยวชาญ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยแจกแบบสอบถาม ระหว่างวันที่1 มกราคม 2558 ถึง 31 มีนาคม 2558วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติอนุมาน ได้แก่Paired t test
เปรียบเทียบความแม่นยำของการคาดคะเนน้ำหนักทารกแรกเกิดจากการวัดด้วยวิธี Leopold's maneuver กับสูตร Johnson พบว่าน้ำหนักเฉลี่ยของทารกแรกเกิดจากการคาดคะเนด้วยสูตร Johnsonเท่ากับ 3782.7 มากกว่าน้ำหนักเฉลี่ยของทารกแรกเกิดจากการคาดคะเนด้วยวิธี Leopold's maneuverเท่ากับ 2936.4 มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เปรียบเทียบความแม่นยำของการคาดคะเนน้ำหนักทารกแรกเกิดจากการวัดด้วยสูตร Johnson กับการวัดน้ำหนักทารกแรกเกิดจากตาชั่งน้ำหนัก พบว่าน้ำหนักเฉลี่ยของทารกแรกเกิดจากการคาดคะเนด้วยสูตร Johnsonเท่ากับ 3782.7 มากกว่าน้ำหนักเฉลี่ยของทารกแรกเกิดจากน้ำหนักจริงทารกที่วัดจากตาชั่งน้ำหนักเท่ากับ 3038.6 มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เปรียบเทียบความแม่นยำของการคาดคะเนน้ำหนักทารกแรกเกิดจากการวัดด้วยวิธีLeopold's maneuverกับการวัดน้ำหนักทารกแรกเกิดจากตาชั่งน้ำหนัก พบว่าน้ำหนักเฉลี่ยของทารกแรกเกิดจากการคาดคะเนด้วยวิธีLeopold's maneuverเท่ากับ 2936.4 และน้ำหนักเฉลี่ยของทารกแรกเกิดจากน้ำหนักจริงทารกที่วัดจากตาชั่งน้ำหนักเท่ากับ 3038.6 ไม่มีความแตกต่างกัน
ควรกำหนดระยะของการคลอดลงในการเก็บข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางเดียวกันและความน่าเชื่อถือของการวิจัยและความแม่นยำยิ่งขึ้นและพยาบาลห้องคลอดที่เก็บข้อมูล ควรเป็นพยาบาลมีประสบการณ์ในการทำงานให้ห้องคลอดอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไปเพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการประเมินทารกโดยวิธี Leopold's maneuver
ผู้ป่วยมีปัญหาด้านสุขภาพลดลง เจ้าหน้าที่พบวิธีการดูแลผู้ป่วยแบบใหม่ สามารถดูแลผู้ป่วยได้ตรงจุดตามสภาพปัญหา
ความมุ่งมั่นที่จะพัฒนางานให้บริการผู้ป่วย การได้รับการสนับสนุนจากองค์กร
ไม่เป็น
ไม่เคย
ไม่เคย
ไม่เคย