ผู้ป่วยมะเร็งของกล่องเสียงพบมากประมาณ 1-1.4 คนต่อประชากร 10,000 คน มีอุบัติการณ์สูงในลำดับต้นๆ ของมะเร็งด้าน หู คอ จมูก และประมาณ 80 % ของผู้ป่วยมาพบแพทย์ในระยะที่รุนแรง และจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเอากล่องเสียงออก หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะกลายเป็นผู้ไร้กล่องเสียงพูดสื่อสารกับผู้อื่นไม่ได้ ผู้ป่วยจึงคับข้องใจจากปัญหาด้านสุขภาพ ปัญหาด้านจิตใจ การฝึกให้ผู้ไร้กล่องเสียงพูดได้ด้วยหลอดอาหาร (ซึ่งเป็นการพูดที่ธรรมชาติ และประหยัดที่สุด)จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพของผู้ไร้กล่องเสียง แต่เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนการบริการด้านแก้ไขการพูดในประเทศไทย และผู้ไร้กล่องเสียงส่วนใหญ่มีฐานะยากจน จึงไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านการแก้ไขการพูดได้ คลินิกฝึกพูดและสหสาขาวิชาชีพเล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงได้จัดการฝึกพูดด้วยหลอดอาหารอย่างสมบูรณ์แบบด้วยโครงการเพื่อนช่วยเพื่อนขึ้น
เพื่อศึกษาถึงประสิทธิภาพผลของการฝึกพูดด้วยหลอดอาหารอย่างสมบูรณ์แบบของโครงการเพื่อนช่วยเพื่อน
ผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงและได้รับการผ่าตัดเอามะเร็งกล่องเสียงออกทั้งหมด และเป็นผู้ไร้กล่องเสียงที่สามารถเข้าร่วมโครงการการฝึกพูดด้วยหลอดอาหารในโครงการ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ได้อย่างน้อย 6 ครั้ง ผู้ไร้กล่องเสียงได้รับการฝึกพูดด้วยหลอดอาหารโดยผู้ไร้กล่องเสียงที่เป็นครูผู้ช่วยฝึกพูดและมีนักแก้ไขการพูดควบคุมการฝึกพูดตามระดับความสามารถ (0= เรอไม่ได้ 1= เรอได้บางครั้ง .......17= พุดคล่อง ร้องเพลงได้) ทำการฝึกพูดด้วยหลอดอาหารและปรับกลยุทธ์ (Plan-Do-Check-Act) ทุกเดือนเป็นเวลา 4 ปี และจัดให้ผู้ไร้กล่องเสียงเข้าโครงการ “ค่ายสร้างความหวัง เติมกำลังใจ แด่ผู้ไร้กล่องเสียง” ซึ่งเป็นโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิต โดยบูรณาการเอาดนตรีบำบัด ศิลปะบำบัด อาหารบำบัด และธรรมะเข้ากับกิจกรรมสุขภาพ แล้วทำการศึกษาผลของการเลื่อนระดับของการฝึกพูดด้วยหลอดอาหารของผู้ไร้กล่องเสียงที่รับการฝึกพูด 6 และ 12 ครั้ง
ผู้ไร้กล่องกล่องเสียงจำนวน 94 คน พูดด้วยหลอดอาหารจำนวน 56 คน และใช้เครื่องช่วยพูด (electrolarynx) จำนวน 38 คน ผู้ไร้กล่องเสียงที่ฝึกพูดด้วยหลอดอาหารครบ 6 ครั้ง (จำนวน 37 คน) และ 12 ครั้ง (จำนวน 19 คน) สามารถเลื่อนระดับของการพูดด้วยหลอดอาหารได้เฉลี่ยคนละ 3.27 และ 4.74 ระดับ/ปี ตามลำดับ ผู้ไร้กล่องเสียงที่พูดด้วยหลอดอาหารได้ระดับ 5 ขึ้นไป และไม่ใช้เครื่องช่วยพูดมีจำนวน 28 คน (ร้อยละ 50.91) ส่งผลให้ประหยัดค่าเครื่องช่วยพูด เป็นเงิน 1,632,000 บาท (เครื่องละ 32,000 บาท) ความพึงพอใจต่อโครงการฝึกพูดด้วยหลอดอาหารอยู่ในระดับดี-ดีมาก ร้อยละ 94-100, 88-100, 87-100 และ 90-100 ในปีพ.ศ. 2553, 2554, 2555, 2556 ตามลำดับ และความพึงพอใจต่อกิจกรรมในค่าย “สร้างความหวัง เติมกำลังใจ แด่ผู้ไร้กล่องเสียง” อยู่ในระดับดี-ดีมาก ร้อยละ 91.43-100 และ ร้อยละ 88-100 ในปีพ.ศ. 2554, 2556 ตามลำดับ
ได้นำผลงานวิจัยไปใช้ในการทำงานประจำตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี รวมทั้งเป็นข้อมูลในการแนะนำผู้ป่วย มีการขยายรูปแบบการฝึกพูดด้วยหลอดอาหารในโครงการ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ไปใช้ในโรงพยาบาลอื่นๆ ที่ขาดแคลนนักแก้ไขการพูด เช่น โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ โรงพยาบาลมุกดาหาร ฯลฯ
การวิเคราะห์จุดอ่อน คือการขาดแคลนนักแก้ไขการพูด การใช้จุดแข็งที่มีอยู่ คือ การสนับสนุนทั้งจากภาครัฐบาลและเอกชน แล้วแก้ไขปัญหาโดยการมุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จโดยการสร้างแรงจูงใจให้เกิดความร่วมมือในทีมสหสาขาวิชาชีพที่มีอยู่ สามารถสร้างต้นแบบในการฝึกพูด และนำไปใช้ในการฟื้นฟูผู้ไร้กล่องเสียงให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยตัวเองโดยไม่เป็นภาระกับครอบครัว และสังคม
พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส/ พลิกวินาถให้เป็นพัฒนา หาจุดแข็งที่มีอยู่ รู้การสนับสนุนของหน่วยงานเป็นแรงเสริม เติมเต็มส่วนที่ขาด อย่าพลาดให้ความสำคัญกับทีม การสร้างแรงบันดาลใจ และความมุ่งมั่นที่จะพัฒนางาน โดยคิดถึงประโยชน์ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งเสาะแสวงหาการสนับสนุนจากหน่วยงานอื่นทั้งภาครัฐบาล ภาคเอกชน และองค์กรที่ไม่หวังผลตอบแทน และถือผลประโยชน์ทีมงานอย่างเสมอภาคเป็นปัจจัยที่สำคัญ
ไม่เป็น
ไม่เคย
ส่วนหนึ่งของงานวิจัยได้นำเสนอการประชุม KKU Show & Share ครั้งที่ ๗ ณ วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น
งานวิจัยที่เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย ได้รับรางวัลชนะเลิศการบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น