ปี 52 พบคนไทยตายด้วยโรคหลอดเลือดสมอง จำนวน 13,353 คน เฉลี่ยวันละ 36 คน ในทุกๆ 2 ชม. ปัจจุบันมีผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป เป็นโรคหลอดเลือดสมอง ประมาณ 751,350 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ปี 47 พบว่าคนไทยตายด้วยโรคหลอดเลือดสมอง เฉลี่ยวันละ 36 คน ส่งผลกระทบทั้งตัวผู้ป่วยและเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ โรคนี้สามารถป้องกันได้มากกว่า 80% ซึ่งการป้องกัน ได้แก่ ควบคุมปัจจัยเสี่ยง ให้ความรู้เน้นอาการเตือน 6 อาการ ได้แก่ 1)อาการชาและอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า แขนหรือขา 2) อาการสับสน พูดลำบากหรือพูดไม่รู้เรื่อง 3)อาการมองไม่ชัดตามัว1 หรือ 2 ข้าง 4)อาการเดินเซ เดินลำบาก หรือสูญเสียความสามารถในการทรงตัว 5)อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ 6) อาการกลืนลำบาก ในภาวะฉุกเฉินแจ้ง1669 เมื่อเกิดอาการเตือน ซึ่งรพ.ได้พัฒนาระบบ Stroke fast track เพื่อลดอัตราตายและความพิการที่สำคัญ
* ศึกษาระดับและความสัมพันธ์การรับรู้อาการเตือน การจัดการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองกับการจัดการโรคหลอดเลือดสมองในภาวะฉุกเฉินและศึกษาตัวแปรที่ร่วมกันพยากรณ์การจัดการโรคหลอดเลือดสมองในภาวะฉุกเฉิน
การศึกษาเชิงพรรณ หาความสัมพันธ์ ประชากร คือ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง และผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มารับบริการในคลินิกโรคเรื้อรัง แผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลนครนายก จำนวน 400 คน คัดเลือกด้วยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เป็นแบบสัมภาษณ์การรับรู้อาการเตือนและการจัดการในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและการจัดการในภาวะฉุกเฉิน โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณด้วยวิธีการวิเคราะห์แบบขั้นตอน
* ค่าเฉลี่ยการรับรู้อาการเตือนโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับดี ส่วนการจัดการในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง และการจัดการในภาวะฉุกเฉินอยู่ในระดับดีมาก * ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้อาการเตือนของโรค การจัดการในการป้องกันโรค และการจัดการเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน พบว่าการรับรู้อาการเตือนโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยคลินิคโรคเรื้อรังมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการจัดการในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ระดับต่ำ (r=.29) และการรับรู้อาการเตือนโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยคลินิคโรคเรื้อรังมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการจัดการโรคในในภาวะฉุกเฉินในระดับปานกลาง (r = 50 )* การจัดการในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการจัดการโรคในภาวะฉุกเฉินระดับปานกลาง(r = .43)*การรับรู้อาการเตือนโรคหลอดเลือดสมองและการจัดการในการป้องกันเป็นตัวแปรที่สามารถร่วมกันพยากรณ์ การจัดการโรคหลอดเลือดสมองในภาวะฉุกเฉินได้ร้อยละ 34
*นำข้อมูลไปใช้ในการให้ข้อมูลการป้องกันโรคก่อนเกิดโรคหลอดเลือดสมอง และการลดอัตราตาย และความพิการ *เป็นข้อมูลสร้างความตระหนักในกลุ่มเสี่ยงของโรคในกลุ่มโรคเรื้อรัง รวมถึงประชาชนทั่วไป ทุกวัย ในการดูแลสุภาพ ช่วยลดความเสี่ยง ลดการเกิดโรค ลดความพิการ และลดอัตราตาย *เป็นข้อมูลในการวางแผนการจัดสรรงบประมาณ และบุคลากรในการสร้างความตระหนักในการป้องกันการเกิดโรคทั้งโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง โรคจากภาวะแทรกซ้อน
*รู้หลักในการทำงานวิจัยนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างการพัฒนางานจากงานวิจัย *มีความเข้าใจในผลของการทำวิจัย และนำมาปรับใช้ในหน่วยงาน * ให้ข้อมูลผู้รับบริการได้ตรงตามสภาพปัญหาจริง และสามารถเผยแพร่ไปยังหน่วยงานอื่นในโรงพยาบาล รวมถึงการเผยแพร่ลงสู่ชุมชนทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ *สามารถมอง “เห็นแผน” ในการปฏิบัติงานหลัง “เห็นผล” ของการวิจัย*ได้เรียนรู้งานวิจัย “ ไม่ใช่ยากจนเกินไปนัก”
*ผู้บริหารระดับสูงและระดับหัวหน้ามีวิสัยทัศน์และเห็นความสำคัญของการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย * ผู้วิจัยและพี่เลี้ยงต้องมีความรู้ความเข้าใจ เปิดใจรับ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ ร่วมกันคิด/เขียน แสดงความคิดเห็นมองสภาพปัญหาที่เป็นจริงและตั้งใจจริงในการแก้ปัญหาหรือในการพัฒนางาน * มีใจในการทำงาน และให้ความสำคัญของการมีส่วนร่วม *ได้รับแรงจูงใจจากการได้รับงบประมาณจากทีมวิชาการ
ไม่เป็น
ไม่เคย
ไม่เคย
ไม่เคย